ราหุลสูตร

ว่าด้วยสิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด
ทรงเกิดปริวิตก แห่งพระหฤทัยอย่างนี้ว่า
ธรรมที่เป็นเครื่องบ่มวิมุติ ของราหุลแก่กล้าแล้ว
ถ้ากระไรเราควรแนะนำราหุล ในธรรมเป็นที่สิ้นไป แห่งอาสวะยิ่งขึ้นไปเถิด
ครั้นทรงพระดำริฉะนี้แล้ว
ในเวลาเช้าพระผู้มีพระภาค
ทรงครองอันตรวาสก ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาต
ยังพระนครสาวัตถี
ครั้นเวลาภายหลัง
เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว
ตรัสเรียกท่านพระราหุลมาตรัสว่า
ราหุลเธอจงถือผ้านิสีทนะ ไปสู่ป่าอันธวันด้วยกัน
เพื่อพักผ่อนในเวลากลางวัน

ท่านพระราหุลทูลรับพระดำรัส พระผู้มีพระภาค
แล้วได้ถือผ้านิสีทนะ ตามเสด็จพระผู้มีพระภาคไปข้างหลัง
ก็สมัยนั้นพวกเทวดาหลายพัน ติดตามพระผู้มีพระภาคไปด้วยกัน
คิดว่าวันนี้พระผู้มีพระภาค จักทรงแนะนำท่านพระราหุล
ในธรรมเป็นที่สิ้นอาสวะยิ่งขึ้นไป
ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปสู่ป่าอันธวัน
ประทับ ณ พุทธอาสน์ ที่พระราหุลปูลาดถวาย ที่ควงตันไม้แห่งหนึ่ง
ฝ่ายท่านพระราหุล ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้ว
นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

1. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

2. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

3. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

4. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

5. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

6. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

7. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัส เป็นปัจจัยเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

8. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง
สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

9. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

10. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
ใจเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

11. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

12. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

13. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

14. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

15. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

16. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

17. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

18. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

19. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
มโนสัมผัสเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

20. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

21. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

22. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลว่า
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัส
เป็นปัจจัยเที่ยงหรือไม่เที่ยง
พระราหุลตอบว่า
ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า

23. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
พระราหุลตอบว่า
เป็นทุกข์พระเจ้าข้า

24. พระพุทธเจ้า ทรงตรัสถามพระราหุลต่อไปว่า
ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา
ควรหรือหนอ ที่จะตามเห็นสิ่งนั้น ว่านั่นเป็นของเรา เป็นเรา เป็นตัวตนของเรา
พระราหุลตอบว่า
ไม่ควรเห็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า


อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ
ทั้งในรูป
ทั้งในจักษุวิญญาณ
ทั้งในจักษุสัมผัส
ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย
ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในใจ
ทั้งในธรรมารมณ์
ทั้งในมโนวิญญาณ
ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย
เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัดจิตย่อมหลุดพ้น
เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว
ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว
ท่านพระราหุลชื่นชมยินดี พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อนึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไวยากรณ์ภาษิตนี้อยู่
จิตของท่านพระราหุลหลุดพ้นแล้ว
จากอาสวะไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน
ฝ่ายเทวดาหลานพัน ก็เกิดธรรมจักษุ
อันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน
ว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา