ว่าด้วยควรเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ว่าย่อมเป็นผู้มีสติอย่างไร
ย่อมเป็นผู้มีปกติ
เห็นกายในกายอยู่
มีความเพียรมีสัมปชัญญะมีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมเป็นผู้มีปกติ เห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียรมีสัมปชัญญะมีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมเป็นผู้มีปกติ เห็นจิตในจิตอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมเป็นผู้มีปกติเห็นธรรมในธรรม
มีความเพียรมีสัมปชัญญะมีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสีย
ย่อมเป็นผู้มีสติอย่างนี้แล

ย่อมเป็นผู้มีสัมปชัญญะอย่างไร
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว
ในก้าวไปในการถอยกลับ
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ในการแลในการเหลียว
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ในการคู้เข้าเหยียดออก
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ
ย่อมเป็นผู้มีปกติทำความรู้สึกตัว ในการเดินในการ ยืน นั่ง หลับ ตื่น พูด นิ่ง
ย่อมเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะอย่างนี้แล

ถ้าเมื่อนั้นมีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยว อยู่อย่างนี้
สุขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้น
เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ ว่าสุขเวทนานี้ บังเกิดขึ้นแล้วแก่เราแล
ก็แต่ว่าสุขเวทนานั้น อาศัยจึงเกิดขึ้น
ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น
อาศัยอะไรอาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
ก็สุขเวทนาอันอาศัยกายอันไม่เที่ยง
ปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
แล้วจึงบังเกิดขึ้นจะเที่ยงแต่ที่ไหน
ดังนี้เธอย่อมพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืน ในกายและในสุขเวทนาอยู่
เมื่อเธอพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืน ในกายและในสุขเวทนาอยู่
ย่อมละราคานุสัยในกาย และในสุขเวทนาเสียได้

ถ้าเมื่อนั้นมีสติสัมปชัญญะ เป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียร มีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
ทุกขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้น
เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ทุกขเวทนานี้ บังเกิดขึ้นแล้วแก่เราแล
ก็แต่ว่าทุกขเวทนานั้น อาศัยจึงเกิดขึ้น
ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น
อาศัยอะไรอาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
ก็ทุกขเวทนา อันอาศัยกายอันไม่เที่ยง
ปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
แล้วจึงบังเกิดขึ้นจะเที่ยงแต่ที่ไหน
ดังนี้เธอย่อมพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืนในกาย และในทุกขเวทนาอยู่
เมื่อเธอพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืนในกาย และในทุกขเวทนาอยู่
ย่อมละปฏิฆานุสัยในกาย และในทุกขเวทนาเสียได้

ถ้าเมื่อนั้นมีสติสัมปชัญญะเป็นผู้ไม่ประมาท
มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยวอยู่อย่างนี้
ไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา ย่อมบังเกิดขึ้น
เธอย่อมรู้ชัดอย่างนี้ว่า ไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนานี้ บังเกิดขึ้นแล้วแก่เราแล
ก็แต่ว่าไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา
นั้นอาศัยจึงเกิดขึ้น
ไม่อาศัยไม่เกิดขึ้น
อาศัยอะไรอาศัยกายนี้เอง
ก็กลายนี้แหละไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
อาศัยอะไรอาศัยกายนี้เอง
ก็กายนี้แลไม่เที่ยง
อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
ก็ไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา อาศัยกายอันไม่เที่ยง
ปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น
แล้วจึงบังเกิดขึ้นจักเที่ยงแต่ที่ไหน
ดังนี้เธอย่อมพิจารณา เห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืน ในกายและในไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนาอยู่
เมื่อเธอพิจารณาเห็นความไม่เที่ยง ความเสื่อมไป ความคลายไป
ความดับความสละคืน ในกายและในไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนาอยู่
ความดับ ความสละคืนในกาย และในไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนาอยู่
ย่อมละอวิชชานุสัยในกาย และในไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนาเสียได้

ถ้าเมื่อนั้นเสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า สุขเวทนาไม่เที่ยง
ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่าเพลิดเพลิน
ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็รู้ชัดว่า
ทุกขเวทนาไม่เที่ยง ไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่าเพลิดเพลิน
ถ้าเสวยไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า ไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา ไม่เที่ยงไม่น่าหมกมุ่น ไม่น่าเพลิดเพลิน

ถ้าเธอเสวยสุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลส เสวยสุขเวทนานั้น
ถ้าเธอเสวยทุกขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลส เสวยทุกขเวทนานั้น
ถ้าเธอเสวยไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา ย่อมเป็นผู้ปราศจากกิเลส เสวยไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนานั้น
เมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ก็รู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่าเมื่อตายไป
เวทนาทั้งปวงอัน ไม่น่าเพลิดเพลิน
จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว

เปรียบเหมือนประทีปน้ำมัน
อาศัยน้ำมัน และไส้จึงลูกโพลงอยู่ได้
เพราะสิ้นน้ำมันและไส้ประทีปนั้น
ไม่มีเชื้อพึงดับไป
ฉันใดก็ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่อเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด
เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด
ย่อมรู้ชัดว่าเมื่อตายไป
เวทนาทั้งปวง อันไม่น่าเพลิดเพลิน จักเป็นความเย็นในโลกนี้ทีเดียว