ยมกสูตร

สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร
อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี
ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า
เห็นปานนี้ว่า
เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ
ย่อมไม่เกิดอีก
ภิกษุหลายรูป
ได้ฟังแล้วว่า
ได้ยินว่า ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เป็นปานนี้ว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว
ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ
ย่อมไม่เกิดอีก
ครั้งนั้น ภิกษุเหล่านั้น
จึงพากันเข้าไปหา ท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่
ได้สนทนาปราศรัย กับท่านยมกภิกษุ
ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย ชวนให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่า
ดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า
เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ
ย่อมไม่เกิดอีกจริงหรือ?
ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส
ภิ ดูกรอาวุโสยมกะ
ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น
อย่าได้กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค
เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย
เพราะพระผู้มีพระภาค ไม่พึงตรัสอย่างนี้ว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ
ย่อมไม่เกิดอีก
ท่านยมกะ
เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้น กล่าวแม้อย่างนี้
ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิอันชั่วช้านั้น อย่างหนักแน่นอย่างนั้นว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค
ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ
ย่อมพินาศ
ย่อมไม่เกิดอีก
ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ
ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้
จึงลุกจากอาสนะ
เข้าไปหาท่านพระสารีบุตร จนถึงที่อยู่

ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่านพระสารีบุตรว่า
ข้าแต่ท่านสารีบุตร
ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ขอโอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตร ไปหายมกภิกษุถึงที่อยู่
เพื่ออนุเคราะห์เถิด
ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์ โดยดุษณีภาพ
ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร
ออกจากที่พักผ่อนแล้ว
เข้าไปหาท่านยมกะถึงที่อยู่
ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ
ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัย
พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว
จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว
ได้ถามท่านยมกะว่า
ดูกรอาวุโสยมกะ
ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า
เรารู้ทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ดังนี้จริงหรือ?
ท่านยมกะตอบว่า อย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร

สา ดูกรท่านยมกะ
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ย ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ
สา เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
ย ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ
สา เพราะเหตุนี้นั้นแล ยมกะ
พระอริยสาวกผู้ใดสดับแล้ว
เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ
รู้ชัดว่า ฯลฯ
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก
สา ดูกรท่านยมกะ
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นรูปว่าเป็น สัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นเวทนาว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นสัญญาว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นสังขารว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นวิญญาณว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ดูกรท่านยมกะ
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคล มีในรูปหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลมีในเวทนาหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลมีในสัญญาหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลมีในสังขารหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลมีในวิญญาณหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ดูกรยมกะ
ท่านจะสำคัญ
ความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ดูกรท่านยมกะ
ท่านจะสำคัญ ความข้อนั้นเป็นไฉน
ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ?
ย ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
สา ดูกรท่านยมกะ
ก็โดยที่จริง โดยที่แท้
ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคล ในขันธ์ ๕ เหล่านี้ ในปัจจุบันไม่ได้เลย
ควรแลหรือที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม
ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า
พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก
ย ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร
เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้าอย่างนั้น
แต่เดี๋ยวนี้
ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว
และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้ว
เพราะฟังธรรมเทศนานี้
ของท่านพระสารีบุตร

สา ดูกรท่านยมกะ
ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า
ท่านยมกะภิกษุ
ผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ
เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร
ท่านถูกถามอย่างนั้น
จะพึงกล่าวแก้ว่าอย่างไร?
ย ข้าแต่ท่านสารีบุตร
ถ้าเขาถามอย่างนั้น
ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่า
รูปแลไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว
ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
ข้าแต่ท่านสารีบุตร
ผมถูกเขาถามอย่างนั้น
พึงกล่าวแก้อย่างนี้
สา ดีละๆ ยมกะ
ถ้าอย่างนั้น เราจักอุปมาให้ท่านฟัง
เพื่อหยั่งรู้ความข้อนั้นให้ยิ่งๆขึ้น

ดูกรท่านยมกะ
เปรียบเหมือนคฤหบดี
หรือบุตรของคฤหบดีผู้มั่งคั่ง
มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และเขารักษาตัวกวดขัน
เกิดมีบุรุษคนหนึ่ง
ประสงค์ความพินาศ
ประสงค์ความไม่เป็นประโยชน์
ประสงค์ความไม่ปลอดภัย
อยากจะปลงชีวิตเขาเสีย
เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่า
คฤหบดีและบุตรคฤหบดีนี้
เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก
และเขามีการรักษาอย่างกวดขัน
การที่จะอุกอาจปลงชีวิตนี้
ไม่ใช่เป็นการทำได้ง่ายเลย
อย่ากระนั้นเลย
เราพึงใช้อุบายปลงชีวิต บุรุษนั้น
พึงเข้าไปหาคฤหบดี
หรือบุตรคฤหบดีนั้นแล้ว
พึงกล่าวอย่างนี้ว่า
ผมขอเป็นคนรับใช้ท่าน
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น
พึงรับบุรุษนั้นไว้ใช้
เขาพึงรับใช้เรียบร้อยดีทุกประการ
คือ มีปรกติตื่นก่อน นอนภายหลัง
คอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็นที่พอใจ
กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น เชื่อเขาโดยความเป็นมิตร โดยความเป็นสหาย
และถึงความไว้วางใจในเขา
เมื่อใด บุรุษนั้นพึงคิดว่า
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ไว้ใจเราดีแล้ว
เมื่อนั้น บุรุษนั้นรู้ว่า
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีอยู่ในที่ลับ
พึงปลงชีวิตเสียด้วยศาตราอันคม
ท่านยมกะ
ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
ในกาลใด บุรุษนั้นเข้าไปหา คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีโน้นแล้ว
กล่าวอย่างนี้ว่า
ผมขอรับใช้ท่านแม้ในกาลนั้น
เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว
ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น
หารู้จักบุรุษผู้ฆ่าว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่
ในกาลใด บุรุษนั้นตื่นก่อน นอนภายหลัง
คอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็นที่พอใจ
กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่
แม้ในกาลนั้น
เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว
ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น
หารู้จักบุรุษผู้ฆ่านั้นว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่
และในกาลใด
บุรุษนั้นรู้ว่า
คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี นั้นอยู่ในที่ลับ
จึงปลงชีวิตเสีย ด้วยศาตราอันคม
แม้ในกาลนั้น เขาเป็นผู้ฆ่านั่นเอง
ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น
หารู้จักบุรุษนั้นว่าเป็นผู้ฆ่าเราไม่
ย อย่างนั้น ท่าน

สา ดูกรท่านยมกะ
ข้ออุปมานี้ฉันใด
ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในอริยธรรม
ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม
ไม่ได้รับแนะนำ ในสัปปุริสธรรม
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีรูป ย่อมเห็นรูปในตน หรือย่อมเห็นตนในรูป
ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือย่อมเห็นตนในวิญญาณ
เขาย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นอนัตตา ว่าเป็นอนัตตา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันปัจจัยปรุงแต่งว่า อันปัจจัยแต่ง
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า
เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว
ย่อมเป็นไป เพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน

ดูกรท่านยมกะ
ส่วนพระอริยสาวกผู้สดับแล้ว
ได้เห็นพระอริยะทั้งหลาย
ฉลาดในอริยธรรม ได้รับแนะนำ ในอริยธรรมดีแล้ว
ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย
ฉลาดในสัปปุริสธรรม
ได้รับแนะนำ ในสัปปุริสธรรมดีแล้ว
ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน ย่อมไม่เห็นตนมีรูป ย่อมไม่เห็นรูปในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในรูป
ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน
ย่อมไม่เห็นตนมีวิญญาณ ย่อมไม่เห็นวิญญาณในตน หรือย่อมไม่เห็นตนในวิญญาณ
เขาย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อันเป็นทุกข์ว่าเป็นทุกข์
ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่าเป็นอนัตตา
ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่ง ว่าปัจจัยปรุงแต่ง
ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า
เขาย่อมไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา
อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้
อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไป
เพื่อประโยชน์เกื้อกูล
เพื่อสุขตลอดกาลนาน
ย ข้าแต่ท่านสารีบุตร
ข้อที่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย
ของท่านผู้มีอายุทั้งหลาย
ผู้เช่นนั้น เป็นผู้อนุเคราะห์
ใคร่ประโยชน์
เป็นผู้ว่ากล่าวพร่ำสอน
ย่อมเป็นอย่างนั้นแท้
ก็แลจิตของผมหลุดพ้นแล้ว
จากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น
เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ ของท่านสารีบุตร