ปริวีมังสนสูตร

ปริวีมังสนสูตร
ว่าด้วยการพิจารณา เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
ข้าพเจ้าสดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นแลพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายด้วยเหตุเท่าไรหนอแล ภิกษุเมื่อพิจารณาพึงพิจารณา
เพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ โดยประการทั้งปวง
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่าพระพุทธเจ้าข้า
ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์
มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่ตั้ง
มีพระผู้มีพระภาคเป็นผู้นำ
มีพระผู้มีพระภาคเป็นที่พึ่ง
ได้โปรดเถิดพระพุทธเจ้าข้า
ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้จงแจ่มแจ้ง กะพระผู้มีพระภาคเถิด
ภิกษุทั้งหลายได้ฟัง
ต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว จะทรงจำไว้
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายถ้าเช่นนั้น
เธอทั้งหลายจงฟังจงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุในธรรมวินัยนี้
เมื่อพิจารณาย่อมพิจารณาว่า ทุกข์คือชราและมรณะ
มีประการต่างๆมากมายเกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นสมุทัย มีอะไรเป็นกรรม
มีอะไรเป็นแดนเกิดหนอแล
เมื่ออะไรมีชราและมรณะจึงมี
เมื่ออะไรไม่มีชราและมรณะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
ทุกข์คือชราและมรณะ
มีประการต่างๆมากมายเกิดขึ้นในโลก
ทุกข์นี้แลมีชาติเป็นเหตุ
มีชาติเป็นสมุทัย
มีชาติเป็นกำเนิด
มีชาติเป็นแดนเกิด
เมื่อชาติมีชราและมรณะจึงมี
เมื่อชาติไม่มีชราและมรณะจึงไม่มี
ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชราและมรณะ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควร
ที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น
เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง
เพื่อความดับแห่งชราและมรณะ
อีกประการหนึ่ง
ภิกษุเมื่อพิจารณาย่อมพิจารณาว่า
ก็ชาตินี้มีอะไรเป็นเหตุ
มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรมี ชาติจึงมี
เมื่ออะไรไม่มี ชาติจึงไม่มี
ภิกษุนั้นพิจารณาอยู่ย่อมรู้ประจักษ์ว่า
ชาติมีภพเป็นเหตุ
มีภพเป็นสมุทัย
มีภพเป็นกำเนิด
มีภพเป็นแดนเกิด
เมื่อภพมีชาติจึงมี
เมื่อภพไม่มีชาติจึงไม่มี
ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์ชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งชาติ
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควร
ที่ให้ถึงความดับแห่งชาติ
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น
เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง
เพื่อความดับแห่งชาติ', อีกประการหนึ่งภิกษุเมื่อพิจารณา
ย่อมพิจารณาว่า
ก็ภพนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็อุปาทานนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็ตัณหานี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็เวทนานี้มีอะไรเป็นเหตุ​ ฯลฯ
ก็ผัสสะนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็สฬายตนะนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็นามรูปนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็วิญญาณนี้มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ
ก็สังขารนี้มีอะไรเป็นเหตุ
มีอะไรเป็นสมุทัย
มีอะไรเป็นกำเนิด
มีอะไรเป็นแดนเกิด
เมื่ออะไรมีสังขารจึงมี
เมื่ออะไรไม่มีสังขารจึงไม่มี
ภิกษุนั้นเมื่อพิจารณาย่อมรู้ประจักษ์ว่า
สังขารมีอวิชชาเป็นเหตุ
มีอวิชชาเป็นสมุทัยมีอวิชชาเป็นกำเนิด
มีอวิชชาเป็นแดนเกิด
เมื่ออวิชามีสังขารจึงมี
เมื่ออวิชชาไม่มีสังขารจึงไม่มี
ภิกษุนั้นย่อมรู้ประจักษ์สังขาร
ย่อมรู้ประจักษ์เหตุเกิดแห่งสังขาร
ย่อมรู้ประจักษ์ความดับแห่งสังขาร
ย่อมรู้ประจักษ์ปฏิปทาอันสมควร
ที่ให้ถึงความดับแห่งสังขาร
และย่อมเป็นผู้ปฏิบัติอย่างนั้น
เป็นผู้ประพฤติธรรมอันสมควร
ภิกษุนี้เราเรียกว่า
เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความสิ้นทุกข์โดยชอบ
โดยประการทั้งปวง
เพื่อความดับแห่งสังขาร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุคคลตกอยู่ในอวิชชา
สังขารที่เป็นบุญปรุงแต่ง
วิญญาณก็เข้าถึงบุญ
ถ้าสังขารที่เป็นบาปปรุงแต่ง
วิญญาณก็เข้าถึงบาป
ถ้าสังขารที่เป็นอเนญชาปรุงแต่ง
วิญญาณก็เข้าถึงอเนญชา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ในกาลใดแลภิกษุละอวิชชาได้แล้ว
วิชชาเกิดขึ้นแล้วในกาลนั้น
ภิกษุนั้นก็ไม่ทำกรรมเป็นบุญ
ไม่ทำกรรมเป็นบาป
ไม่ทำการเป็นอเนญชา
เพราะสำรอกอวิชชาเสีย
เพราะมีวิชชาเกิดขึ้น
เมื่อไม่ทำเมื่อไม่คิด
ก็ไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก
เมื่อไม่ถือมั่นก็ไม่สะดุ้งกลัว
เมื่อไม่สะดุ้งกลัวก็ปรินิพพาน
ย่อมรู้ชัดว่าชาติสิ้นแล้ว
พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
ภิกษุนั้นถ้าเสวยสุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่าสุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา
อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ถ้าเสวยทุกขเวทนาก็รู้ชัดว่า
ทุกขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา
อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ถ้าเสวยไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา
ก็รู้ชัดว่าไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนานั้นไม่เที่ยง
อันตนไม่ยึดถือแล้วด้วยตัณหา
อันตนไม่เพลิดเพลินแล้วด้วยตัณหา
ภิกษุนั้นถ้าเสวยสุขเวทนา
ก็วางใจเฉยเสวยไป
ถ้าเสวยทุกขเวทนา
ก็วางใจเฉยเสวยไป
ถ้าเสวยไม่ทุกข์ไม่สุขเวทนา
ก็วางใจเฉยเสวยไป
ภิกษุนั้นเมื่อเสวยเวทนา
ที่ปรากฏทางกาย
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนา
ที่ปรากฏทางกาย
เมื่อเสวยเวทนา
ที่ปรากฏทางชีวิต
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนา
ที่ปรากฏทางชีวิต
ก็รู้ชัดว่าเวทนาทั้งปวง
อันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว
จักเป็นของเย็น
สรีระธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น
เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต
เพราะความแตกแห่งกาย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บุรุษยกหม้อที่ยังร้อนออกจากเตาเผา
เมื่อวางไว้ที่พื้นดินอันเรียบ
ไออุ่นที่หม้อนั้นพึงหายไป
กระเบื้องหม้อยังเหลืออยู่ที่พื้นดินนั้นนั่นแหละ
แม้ฉันใดภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางกาย
เมื่อเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต
ก็รู้ชัดว่าเราเสวยเวทนาที่ปรากฏทางชีวิต
ก็รู้ชัดว่าเวทนาทั้งปวง
อันตัณหาไม่เพลิดเพลินแล้ว
จะเป็นของเย็น
สรีระธาตุจักเหลืออยู่ในโลกนี้เท่านั้น
เบื้องหน้าตั้งแต่สิ้นชีวิต
เพราะความแตกแห่งกายฉันนั้นเหมือนกัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ภิกษุผู้ขีณาสพพึงทำกรรมเป็นบุญบ้าง
ทำกรรมเป็นบาปบ้าง
ทำกรรมเป็นเนญชาบ้างหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อสังขารไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะสังขารดับวิญญาณพึงปรากฎหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อวิญญาณไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะวิญญาณดับนามรูปพึงปรากฎหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อนามรูปไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะนามรูปดับสฬายตนะพึงปรากฎหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อสฬายตนะไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะสฬายตนะดับผัสสะพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อผัสสะไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะผัสสะดับเวทนาพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อเวทนาไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะเวทนาดับตัณหาพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อเวทนาไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะเวทนาดับตัณหาพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า
พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อตัณหาไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะตัณหาดับอุปาทานพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า
ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่ออุปาทานไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะอุปาทานดับภพพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อภพไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะภพดับชาติพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า

พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายต่อไปว่า
ก็อีกอย่างหนึ่งเมื่อชาติไม่มี
โดยประการทั้งปวง
เพราะชาติดับชราและมรณะพึงปรากฏหรือหนอ
ภิกษุทั้งหลายทูลตอบว่า ไม่เป็นอย่างนั้นพระเจ้าข้า
ดีละๆภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงสำคัญ จงเชื่อซึ่งข้อนั้นไว้อย่างนั้นเถิด
พวกเธอจงน้อมใจไปสู่ข้อนั้นอย่างนั้นเถิด
จงหมดความเคลือบแคลงสงสัยในข้อนั้นเถิด นั่นเป็นที่สุดทุกข์