เทศนาสูตร
เทศนาสูตร
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท
ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ณ ที่นั้นพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธดำรัสนี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราจักแสดงปฏิจจสมุปบาทแก่พวกเธอ พวกเธอจงฟังปฏิจจสมุปบาทนั้น
จงใส่ใจให้ดีเถิดเราจักกล่าว
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็ปฏิจจสมุปบาทเป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา
และมรณะโสกะปริเทวะ
ทุกขโทมนัสและอุปายาส
ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
นี้เราเรียกว่าปฏิจจสมุปบาท
ก็เพราะอวิชชานั่นแหละ
ดับด้วยการสำรอกโดยไม่เหลือ
สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับสฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับภพจึงดับ
เพราะภพดับชาติจึงดับ
เพราะชาติดับชราและมรณะ
โสกะปริเทวะทุกขโทมนัส
และอุปายาสจึงดับ
ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้
ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
พระผู้มีพระภาค
ได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้นมีใจยินดีชื่นชมภาษิต
ของพระผู้มีพระภาคแล้ว