วิปัสสนาดับทุกข์และสร้างสุขถาวรได้อย่างไร?

วิปัสสนาดับทุกข์ได้อย่างไร? คนเราเกิดมาแล้วต้องการหนีทุกข์ไปหาสุขกันทุกคนแต่ละคนก็มีวิธีการไปหาสุขแตกต่างกันไปตามความคิดเห็นของตนเอง บางคนก็หาสุขไปตลอดชีวิตยังไม่พบความสุขจริงๆที่ตัวเองต้องการ บุคคลที่ประสบความสำเร็จที่หนีทุกข์ไปหาสุขสำเร็จเป็นคนแรกก็คือพระพุทธเจ้า ต่อมาพระองค์ได้นำพระธรรมคำสอนของท่าน ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ทางดับทุกข์ไว้ มาสอนชาวโลกถึง 45 พรรษา คำสอนมีทั้งหมด 84,000 พระธรรมขันธ์ และชาวโลกได้นำพระธรรมคำสอนของพระองค์ให้ศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติฝึกฝนตนเองได้ตรัสรู้พระธรรมตามพระองค์ท่านแล้วมากมายเรียกว่าพระอรหันต์สาวก มีทั้งเจ้าฟ้าพระมหากษัตริย์ นักปราชญ์ราชบัณฑิต และประชาชนคนธรรมดาทั่วไป พระองค์จึงเป็นศาสดาเอกของโลก พระองค์ได้ตรัสพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นทางสายเอกสายเดียว ที่ปฏิบัติถูกธรรมแล้วดับทุกข์ได้ในชาตินี้





พระพุทธองค์ตรัสสอนไว้ว่าทุกข์ของคนเรามี 2 อย่าง
ทุกข์อย่างที่ 1 คือทุกข์ที่เป็นธรรมชาติ หรือทุกข์อริยสัจจะ คือทุกข์ที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย
ทุกข์อย่างที่สอง คือทุกข์ที่คนเราสร้างขึ้นมาเองโดยไม่รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสของตัวเรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิต จึงไปหลงพอใจไม่พอใจกับสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวเรา ความพอใจแปลว่า โลภ ความไม่พอใจแปลว่า โกรธ ตามไม่ทันความพอใจและไม่พอใจเรียกว่า ความหลง หรือโมหะ ถ้าเราไปหลงพอใจไม่พอใจต่อสิ่งที่มากระทบสัมผัสเราอย่างนี้ เรียกว่า เราบำเพ็ญโลภะ โทสะ โมหะ หรือโลภ โกรธ หลง ให้กับตัวเราเองทันที โลภะ โทสะ โมหะ นี้เรียกว่า สมุทัยของทุกข์ทั้งปวง หรืออวิชชาเกิดขึ้น และกระบวนการเกิดดับตามหลักปฏิจจสมุปบาทก็เกิดขึ้นครบวงจรของทุกข์ จะเห็นได้ว่าทุกที่คนเราสร้างขึ้นทุกลมหายใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นี้เป็นเหตุปัจจัยให้ทุกข์อริยสัจจะ หรือทุกข์ที่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นแก่ตัวเรา คือมีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย ในที่สุด วนเวียนอยู่อย่างนี้นับภพนับชาติไม่ถ้วน ต่อไปเราจะดับทุกข์ทั้ง 2 อย่างให้กับตัวเราเองได้นั้น ต้องศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ให้จบพระธรรมคำสอนทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์ก่อน จนเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระองค์ว่า พระองค์ตรัสสอนทางดับทุกข์ให้กับมนุษย์ไว้อย่างไร พระองค์ตรัสบอกทางไว้ให้ในทางสายเอกสายเดียว ที่ปฏิบัติธรรมแล้วดับทุกข์ได้ คือการวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ให้รู้เห็นสิ่งทั้งปวงที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตในขณะปัจจุบันว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับ เกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ไม่มีตัวตนเป็นของตนเอง ถ้าเราจะนำหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไปปฏิบัติฝึกฝนตนเองให้ดับทุกข์ได้ ต้องรู้เข้าใจด้วยว่าทุกข์ที่เราสร้างขึ้นนั้น สร้างด้วยความหลงหรือความเชื่อ จะดับทุกข์หรือจะดับความเชื่อได้ก็ต้องเอาความจริงมาดับ ความจริงที่จะดับความเชื่อได้นั้นต้องเป็นความจริงของโลกและชีวิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้คือกฎธรรมชาติ 2 กฎ





กฎแรกคือกฎไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้หรือโลกไหนๆ รวมทั้งชีวิตของเรา ทั้งหมดอยู่ในกฎนี้ นี่คือกฎความจริงข้อที่ 1





กฎอันที่ 2 คือกฎของเหตุปัจจัย หรืออิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท ในโลกนี้หรือโลกไหนๆ รวมทั้งชีวิตของเราไม่มีอะไรเกิดขึ้นลอยๆหรือบังเอิญ มีเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราว ให้เราเกิดก็เกิด ให้เราตั้งอยู่ก็ตั้งอยู่ ให้เราแตกสลายก็แตกสลาย นี่คือความจริงของโลกและชีวิตข้อที่ 2





สรุปกฎธรรมชาติ 2 กฎนี้ว่า “ไม่เที่ยง เกิดดับ”
เมื่อรู้ความจริงของโลกและชีวิตว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยงเกิดดับแล้ว เอาความจริงนี้ไปปฏิบัติวิปัสสนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ให้รู้เท่าทันสิ่งที่มากระทบสัมผัสตัวของเรา ตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตในขณะปัจจุบันเพื่อให้เกิดปัญญาและเอาปัญญาไปดับทุกข์ดังนี้





วิธีปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาก็ให้ฝึกสติดึงระลึก หรือลากเอาความจริงของโลกและชีวิตตามกฎธรรมชาติ 2 กฎนี้มาตั้งไว้ในใจก่อน ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบตัวเราไม่เที่ยงเกิดดับตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ ใหม่เก่าแตกสลาย หนุ่มแก่ตาย จากนั้นอะไรมากระทบสัมผัสอินทรีย์ 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ให้พิจารณาดังนี้






ตาเห็นรูปอะไร ให้พิจารณาว่า

รูปไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ

หูได้ยินเสียง ให้พิจารณาว่า

เสียงไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราไม่เที่ยงเกิดดับ

จมูกได้กลิ่น ให้พิจารณาว่า

กลิ่นไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ

ลิ้นกระทบรส ให้พิจารณาว่า

รสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ

กายกระทบสัมผัส ให้พิจารณาว่า

สิ่งที่มากระทบสัมผัสไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ

ใจคิดนึกขึ้นมา ให้พิจารณาว่า

ความคิดไม่เที่ยงเกิดดับ ตัวของเราก็ไม่เที่ยงเกิดดับ





ให้พิจารณาให้เห็นความจริงทั้งสองด้านอย่างนี้ตลอดเวลาจนเป็นปกตินิสัยในชีวิตประจำวัน ความจริงก็จะไปดับความเชื่อ หรือความหลงความพอใจความไม่พอใจที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันคือความโลภ โกรธ หลง หรือโลภะ โทสะ โมหะ เหตุปัจจะโยหรือสมุทัยของทุกข์ทั้งปวงหรือดับอวิชชาได้ทันที ณ ที่มันเกิด นั่นคือดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมาได้ ซึ่งทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมานี้เป็นเหตุปัจจัยของทุกข์อริยสัจจะ หรือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เมื่อดับอวิชชาได้แล้ว ก็ดับความเกิดได้ เมื่อดับความเกิดได้ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ก็ไม่มีต่อไปจึงดับทุกข์ถาวรได้





การปฏิบัติวิปัสสนาตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องมีปัญญาดับทุกข์ที่เราสร้างขึ้นมา และดับทุกข์ที่เป็นธรรมชาติได้อย่างนี้เพราะเอาความจริงของโลกและชีวิตที่เป็นกฎธรรมชาติ 2 กฎ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้มาดับความเชื่อที่เป็นความพอใจและไม่พอใจ ที่เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทันทีที่ถูกกระทบสัมผัส โดยเอาสัมมาทิฏฐิหรือความจริง หรือปัญญา มาตั้งเป็นฐานรับการกระทบสัมผัสไว้ที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความคิดที่เกิดต่อจากนี้ก็เป็นความคิดที่ถูกต้อง หรือดำริชอบ หรือสัมมาสังกัปปะ เกิดขึ้นต่อไป องค์ธรรมของมรรคมีองค์ 8 ก็เกิดขึ้นครบถ้วนตามมา จากนั้นสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 เกิดขึ้นครบโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ นี่คือองค์ธรรมของการบรรลุมรรคผลนิพพานเกิดขึ้น มีปัญญาเกิดขึ้น ดับทุกข์ตั้งแต่ถูกกระทบไปจนถึงทุกข์ถาวรในชาติปัจจุบันนี้ คือดับทุกข์ได้ทั้งทุกข์อริยสัจจะและทุกข์ที่เราสร้างขึ้นและพบสุขถาวรตลอดไป นี่คือวิปัสสนาดับทุกข์ได้อย่างนี้





วิปัสสนาสร้างสุขถาวรได้อย่างไร?

เมื่อคนเราดับทุกข์ได้บ้างแล้วก็สามารถสร้างสุขให้ตัวเราเองได้ตลอดเวลา มนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาไม่สามารถสร้างสุขจริงๆ ให้กับตัวเองได้เลย เพราะในใจของคนปุถุชนไม่มีข้อมูลที่นำมาปรุงแต่งสร้างสุขที่เป็นสัญญา (ความจำ) อยู่ในใจมีแต่ข้อมูลสร้างทุกข์ นั่นคือความพอใจหรือไม่พอใจบรรจุอยู่ในใจเป็นสัญญา (ความจำ) อยู่ตลอดเวลาและอยู่เต็มเปี่ยมในใจ เมื่อมีอะไรมากระทบอินทรีย์ 6 คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สติก็จะระลึก ลากหรือดึงเอาข้อมูลที่ปรุงแต่งทุกข์ คือความพอใจหรือไม่พอใจออกมารับการกระทบสัมผัสทุกครั้ง ข้อมูลความพอใจหรือไม่พอใจก็จะไปปรุงแต่งทุกข์ให้เกิดขึ้น เป็นความคิดก่อนแล้วต่อไปเป็นคำพูด จากนั้นไปสู่การกระทำ เมื่อคิดผิด พูดผิด ทำผิด ผลออกตามมาก็ผิด เมื่อผลออกมาผิดก็เกิดทุกข์ ในชีวิตความเป็นอยู่ของปุถุชนคนธรรมดาก็จะตกอยู่ในวังวนของความทุกข์อย่างนี้ไปนับภพนับชาติไม่ถ้วน เพราะไม่มีข้อมูลสร้างสุขเก็บไว้ในใจ มีแต่ข้อมูลสร้างทุกข์ อุปมาเหมือนเราเห็น ก.ไก่ สติก็จะดึงเอาความจำคำว่า ก.ไก่ออกมารับการกระทบทางตา เราจึงรู้เข้าใจว่านี่คือ ก.ไก่ เพราะ ก.ไก่ เป็นข้อมูลที่ใจเก็บไว้เป็นสัญญา (ความจำ) แต่พอเราเห็นตัวหนังสือจีนสติก็ไปคว้าหาข้อมูลที่เป็นสัญญา (ความจำ) เกี่ยวกับตัวหนังสือจีนปรากฏว่าในใจของเราไม่มีข้อมูลตัวหนังสือจีนบรรจุอยู่ เราจึงไม่มีข้อมูลให้สติลากออกมารับการกระทบสัมผัส เราก็อ่านตัวหนังสือไม่ได้ฉันใด ก็ฉันนั้น สุขและทุกข์เป็นธรรมชาติเกิดจากเหตุปัจจัยมาประชุมกันชั่วคราวแล้วแตกสลาย ไม่ใช่โดยบังเอิญหรือเกิดขึ้นลอยๆ





ถ้าเราฝึกฝนตนเองโดยการเจริญปัญญาวิปัสสนาภาวนาพิจารณาขันธ์ 5 และอินทรีย์ 6 ตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกไว้ให้แล้ว เราก็จะมีปัญญาหรือความรู้ที่ได้ดับทุกข์ได้ คือรู้ความจริงของโลกและชีวิตตามกฎธรรมชาติ 2 กฎ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไว้คือกฎไตรลักษณ์และกฎเหตุปัจจัย หรืออิทัปปัจจยตาปฏิจจสมุปบาท เป็นความจริง หรือปัญญา หรือสัมมาทิฐิ เก็บไว้ในใจของเรา เมื่อมีอะไรมากระทบตัวของเราในขณะปัจจุบันหรืออินทรีย์ 6 สติก็จะระลึกหรือดึง หรือลากเอาความจริง หรือปัญญา หรือความรู้ที่ดับทุกข์ได้ออกมารับการกระทบสัมผัสทุกครั้ง หรือแก้ปัญหาได้แล้ว มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งสุขให้กับตัวของเราได้ทันทีเมื่อดับความเชื่อคือความพอใจและไม่พอใจ ที่เป็นข้อมูลสร้างทุกข์ได้แล้ว คนเราก็จะมีข้อมูลปรุงแต่งสร้างสุขเกิดขึ้นแทน เก็บอยู่เต็มใจของเรา คนเราก็จะมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาคือมีความรู้ที่ดับทุกข์ได้เก็บอยู่ในใจ เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสตัวของเรา สติก็จะลากเอาข้อมูลที่เป็นจริงออกมาสร้างสุขหรือปรุงแต่งสุขให้กับตัวเองชีวิตของเราก็อยู่ด้วยปัญญาหรือความจริง (ไม่มีความเชื่อหรือความหลงมาครอบงำเคลือบคลุมบดบัง) จิตใจก็ผ่องใสมีความสุขจริงเกิดขึ้นทันทีอยู่ตลอดเวลา เพราะข้อมูลที่เป็นเหตุปัจจัยในการสร้างทุกข์ดับไปหมดแล้ว เหลือแต่ข้อมูลที่เป็นเหตุปัจจัยในการสร้างสุขเท่านั้นที่เก็บไว้ในใจของเรา เมื่อมีอะไรมากระทบสัมผัสอินทรีย์ 6 สติก็จะลากหรือระลึกเอาข้อมูลที่เก็บไว้ในใจออกมาปรุงแต่งสุขทันทีอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา และในที่สุดจิตใจก็เป็นอิสระปลอดโปร่งจากโลภ โกรธ หลง หรืออวิชชา ต่อไปก็ไม่ต้องห่วงกังวลเกี่ยวกับตัวตนอีก ไม่ต้องคอยเสาะแสวงหาสิ่งเสพเสวยทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และไม่ต้องคอยปกป้องความยิ่งใหญ่ของตนเอง ที่แบกถือเอาไว้อย่างเมื่อก่อนๆอีกต่อไป จิตใจก็เปิดกว้างแผ่ความรู้สึกอิสระออกไปทั่วสารทิศจิตใจก็มีแต่เมตตา กรุณา แผ่ขยายออกไป จะอยู่ที่ไหนอย่างไรก็มีความสุขตลอดเวลา ในที่สุดก็สร้างสุขถาวรให้กับตัวเองได้สำเร็จในชาตินี้ นี่คือการวิปัสสนาภาวนาที่ถูกต้องตามทางสายเอกที่พระพุทธเจ้าตรัสบอกทางไว้แล้ว มีปัญญาดับทุกข์และสร้างสุขถาวรให้กับตัวเองได้อย่างนี้