ว่าด้วยการกระทำที่สุดทุกข์

สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ กูฎาคารศาลา
ในป่ามหาวันใกล้พระนครเวสาลี
ครั้งนั้นแล
อุคค คฤหบดีชาวเมืองเวสาลี
ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาค
ว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
เหตุปัจจัยอะไรหนอแล
เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวก ในโลกนี้ไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน
อนึ่ง เหตุปัจจัยอะไร เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวก ในโลกนี้ปรินิพพานในปัจจุบัน

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า มีอยู่แลคฤหบดี
รูปทั้งหลายอันบุคคลพึงรู้แจ้ง ด้วยจักษุอันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ
น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันรูปนั้น
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน
หมกมุ่น พัวพันรูปนั้นอยู่
วิญญาณอันอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมมี
อุปาทานอันอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมมี
ภิกษุผู้มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพาน
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ
น่ารักชักให้ใคร่
ชวนให้กำหนัด
หากว่าภิกษุ เพลิดเพลิน
หมกมุ่นพัวพันธรรมารมณ์นั้น
เมื่อภิกษุนั้นเพลิดเพลิน หมกมุ่น พัวพันธรรมารมณ์นั้นอยู่
วิญญาณอันอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมมี
อุปาทานอาศัยซึ่งปัญหานั้นก็ย่อมมี
ภิกษุผู้มีอุปาทานย่อมไม่ปรินิพพาน
ดูกรคฤหบดีเหตุปัจจัยนี้แล
เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวก
ในโลกนี้ไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน

ดูกรและคฤหบดี รูปอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ
อันน่าปรารถนาน่าใคร่น่าพอใจ
น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
หากว่าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่นไม่พัวพันรูปนั้น
เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่นไม่พัวพันรูปนั้นอยู่
วิญญาณอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมไม่มี
อุปาทานอันอาศัยซึ่งตัณหา นั้นก็ย่อมไม่มี
ภิกษุผู้ไม่มีอุปทานย่อมปรินิพพาน
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์
อันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยใจ อันน่าปรารถนาน่าใคร่ น่าพอใจ
น่ารัก ชักให้ใคร่ ชวนให้กำหนัด
หากภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันธรรมารมณ์นั้น
เมื่อภิกษุนั้นไม่เพลินไม่หมกมุ่น ไม่พัวพันในธรรมารมณ์นั้นอยู่
วิญญาณอันอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมไม่มี
อุปาทานอันอาศัยซึ่งตัณหานั้นก็ย่อมไม่มี
ภิกษุผู้ไม่มีอุปาทานย่อมปรินิพพาน