สมุทยธัมมสูตรที่ ๑

พระนครสาวัตถี
ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง
เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ฯลฯ
ครั้นแล้ว
ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ที่เรียกว่า อวิชชา อวิชชา ดังนี้
อวิชชาเป็นไฉนหนอแล
และบุคคลเป็นผู้ประกอบ ด้วยอวิชชาด้วยเหตุเพียงเท่าไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรภิกษุ
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับแล้วในโลกนี้ ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง
ซึ่งรูปอันมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดาว่า รูปมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
รูปมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งรูปอันมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
รูปมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งเวทนา
ย่อมไม่รู้ชัดตาม ความเป็นจริง ซึ่งสัญญา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งสังขาร
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ อันมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ
อันมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ
อันมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า อวิชชา และบุคคล เป็นผู้ประกอบด้วยอวิชชา
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้

เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว
ภิกษุนั้นทูลถามว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ที่เรียกว่า วิชชา วิชชา ดังนี้
วิชชาเป็นไฉนหนอแล
และบุคคล เป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา
ด้วยเหตุเพียงเท่าไร?
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
ดูกรภิกษุ
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว ในธรรมวินัยนี้
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป อันมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดาว่า
รูปมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป อันมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
รูปมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งรูป อันมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
รูปมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งเวทนา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งสัญญา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งสังขาร
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ
อันมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ
อันมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งวิญญาณ
อันมีความเกิดขึ้น และความเสื่อมไป เป็นธรรมดาว่า
วิญญาณมีความ เกิดขึ้นและเสื่อมไป เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุ นี้เรียกว่า วิชชา
และบุคคลเป็นผู้ประกอบด้วยวิชชา
ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล